โดย...อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว แอนิเมชั่นกวนโอ๊ยเหลือรับประทานอย่าง The Simpsons Movie พาตัวเองเข้าไปคลุกวงในกับปัญหาภาวะโลกร้อน พร้อมสื่อสะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดจากการกระทำอันไร้จิตสำนึกของมนุษย์ มาปีนี้ ผลงานแอนิเมชั่นใหม่เอี่ยมจากชายคาพิกซาร์อย่าง WALL•E ก็ไม่ยอมน้อยหน้า และดูท่าว่าจะ “ไปไกล” ยิ่งกว่าเดอะ ซิมป์สันส์หลายช่วงตัว ด้วยประเด็นเนื้อหาที่คาดการณ์ล่วงหน้าถึงวันที่โลกใบนี้ถึงจุดหายนะอย่างสมบูรณ์แบบชนิดที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” ไม่อาจอยู่อาศัยได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับครับว่า นี่คือหนึ่งในแอนิเมชั่นแห่งปีที่มีผู้คนรอชมมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ขณะเดียวกันนั้นก็มีคำทำนายล่วงหน้าจากหลายๆ คนแล้วว่า นี่อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ค่ายหนังชื่อดังอย่างพิกซาร์ (ใต้หลังคาของวอลท์ ดิสนี่ย์) มีโอกาสได้ครอบครองถ้วยรางวัลออสการ์ในสาขาแอนิเมชันติดต่อกันสองสมัยซ้อน (หลังจาก Ratatouille คว้าชัยมาได้เมื่อครั้งที่ผ่านมา)
เห็นด้วยครับว่า WALL•E มีโอกาสเข้าไปยืนอยู่แถวแรกๆ บนเวทีประกวดออสการ์ปีหน้าแน่นอน เพราะต่อให้เราแกล้งทำลืมๆ ไปก่อนว่า นี่เป็นหนังที่สร้างโดยสำนักแอนิเมชันยักษ์ใหญ่ระดับโลกแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า WALL•E สามารถแตะประเด็นร่วมยุคร่วมสมัยได้ตรงจุดมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ออสการ์มีหรือจะมองข้ามผลงานแบบนี้ไปได้ เพราะโดยปกติ ออสการ์ก็ “พยายาม” ทำตัวเองให้ร่วมสมัยไม่ตกเทรนด์อยู่แล้วเช่นกัน
ถ้ายังนึกภาพไม่ออกก็ลองคิดถึง There Will Be Blood ที่แม้จะพลาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปเมื่อครั้งที่แล้ว แต่การที่ออสการ์ปล่อยให้หนังเรื่องนี้หลุดเข้าไปจนถึงโค้งสุดท้ายก็มีนัยยะที่บ่งบอกถึงความเป็นออสการ์ได้ระดับหนึ่งว่า พวกเขาไม่ละเลยประเด็นปัญหาร่วมสมัยที่กำลังขย่มโลกอยู่ (ซึ่งก็คือวิกฤติเกี่ยวกับเรื่องพลังงานน้ำมัน)
แต่เอาเถอะ เส้นทางออสการ์นั้นยังอีกไกล และในตอนนี้ ไปดูความน่าสนใจของ WALL•E กันก่อนดีกว่า...
แน่นอนครับว่า ถ้าพูดถึงค่ายหนังชื่อดังอย่างพิกซาร์ อย่างแรกเลยที่ต้องยกเครดิตให้ก็คือ ความช่างคิดในการสร้างตัวละครที่ทำให้คนดูรู้สึกประหลาดใจได้เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสกสร้าง “สิ่งไร้ชีวิต” (ส่วนใหญ่เป็นของเล่นสำหรับเด็ก) ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตและมีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับมนุษย์นั้นถือเป็นมุกเด็ดอย่างหนึ่งซึ่งพิกซาร์ทำได้ดีเสมอมา
มาคราวนี้ พิกซาร์ก็ทำเก๋อีกครั้งด้วยการสร้างตัวละครที่แม้จะเป็นหุ่นยนต์ แต่ก็มีสัดส่วนของ “ความเป็นคน” อยู่ในตัวเองค่อนข้างสูง ถ้าไม่ติดที่ว่าร่างกายของมันเป็นเหล็กแล้ว ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ก็แทบไม่มีอันใดแตกต่างจาก “มนุษย์” คนหนึ่ง
เรื่องราวของหุ่นยนต์หนุ่มน้อยที่มีชื่อว่า วอลล์อี (WALL•E) เริ่มต้นขึ้นในวันที่โลกรกล้นไปด้วยขยะจนกระทั่งมนุษยชาติไม่อาจอยู่อาศัยได้ และต้องพากันอพยพไปอยู่ในยานอวกาศ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหล่ามนุษย์รุดหน้าสู่ “บ้านหลังใหม่” นั้น พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าตนเองได้ทอดทิ้งหุ่นยนต์น้อยตัวหนึ่งเอาไว้เพียงลำพัง
อันที่จริง เจ้าหุ่นยนต์ตัวน้อยนี้เป็นหนึ่งในหุ่นยนต์หลายพันตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อภารกิจเก็บขยะโดยเฉพาะ ดังนั้น แม้ว่า “เขา” จะถูกทิ้งไว้อย่างนั้น แต่ทุกๆ วัน เจ้าวอลล์อีก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ลดละ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันตามมาอีกมากมาย เมื่อหุ่นยนต์สาวน้อยอีกตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นมา...
ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นครับว่า เนื้อหาหลักๆ ของหนังเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงสถานการณ์วิกฤติโลกที่ถือเป็น “ความเป็นความตาย” ของมนุษยชาติ และคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า WALL•E กำลังส่งเสียงเตือนบางอย่างใส่หูและจิตสำนึกของมนุษย์ทุกผู้ทุกคน
ภาพของเจ้าหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ ที่เคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางเศษขยะที่กองเกลื่อนระเกะระกะท่วมบ้านท่วมเมืองนั้น นอกจากจะเป็นการทำนายถึงโลกในอนาคตได้อย่างเห็นภาพแล้ว ขยะเหล่านี้แท้ที่จริงก็คือผลพวงอันเลวร้ายอีกแบบหนึ่งซึ่งเกิดจากความมักง่ายในการใช้ชีวิตของคนเรานั่นเอง
ฟังๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องเครียด แต่เปล่าเลยครับ เพราะถึงแม้ WALL•E จะมีประเด็นที่ค่อนข้างจริงจังซีเรียส แต่วิธีการเล่าเรื่องก็ยังคงความเป็นการ์ตูนที่ดูสนุกเอาไว้อย่างครบถ้วนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างไรก็ดี ถ้าจะมองว่าหนังเรื่องนี้มีปัญหาอยู่บ้างก็คงเป็นในช่วงแรกๆ ที่เดินเรื่องค่อนข้างช้าและวนเวียนอยู่กับการนำเสนอภาพหุ่นยนต์น้อยทำงานเก็บขยะนานไปหน่อย และกว่าจะปล่อยบทพูดคำแรกออกมาก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง (ประมาณนาทีที่ 27!)
ผมเข้าใจว่า ที่หนังทำแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึง “ภาวะโดดเดี่ยว” ของเจ้าหุ่นยนต์วอลล์อี แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงตอนนี้ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักว่า มันจะน่าเบื่อแค่ไหนสำหรับคนดูหนังชาวไทยส่วนหนึ่งซึ่งอาจจะ “เข้าใจ” และ “ยึดมั่นถือมั่น” ว่า หนังที่ดีต้องมี “บทพูด” (ไม่แปลกใจเลย ถ้าใครสักคนจะชิงงีบหลับไปก่อนแล้วตั้งแต่ช่วง 10 นาทีแรก!)
ดังนั้น ขออนุญาตแนะไว้ก่อนเลยครับว่า ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกอาจจะต้องทำใจเย็นๆ สักหน่อย ค่อยๆ ละเลียดและเก็บเกี่ยวความรู้สึกไปทีละเล็กละน้อย เพราะถ้าผ่านช่วงแรกที่ผมพูดถึงนี้ไปได้ ถัดจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
มีอีกส่วนหนึ่งซึ่งหนังทำได้ดีและผมเชื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในใจคนดูไปอีกนาน นั่นก็คือ การดีไซน์คาแรกเตอร์ของเจ้าหุ่นยนต์วอลล์อีให้มีความช่างคิดช่างฝันและโรแมนติก ดังที่เราจะได้เห็นว่าในขณะที่ “เขา” ทำหน้าที่เก็บกวาดและย่อยสลายเศษขยะอยู่ทุกวี่วันนั้น ลึกลงไปในใจ หุ่นยนต์หนุ่มน้อยก็เฝ้าฝันว่าจะมี “ใครสักคน” ที่เข้ามาช่วยปัดกวาดและย่อยสลายความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาให้หมดไปจากใจเขาเช่นเดียวกัน (ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับคนเหงาหลายๆ คนที่โหยหาเพื่อนและต้องการรัก)
นอกเหนือไปจากความโรมานซ์น่ารักน่าชังของหุ่นยนต์ตัวน้อยๆ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งคนดูน่าจะรู้สึกได้คล้ายๆ กันก็คือ WALL•E เป็นหนังอีกเรื่องที่เหน็บแนมสังคมมนุษย์ได้ตรงจุดที่สุด แม้จะไม่ก่อให้เกิดบาดแผลเหวอะหวะอะไรมาก แต่ก็แสบๆ คันๆ พอประมาณ
ผมชอบตอนที่มนุษย์คนหนึ่งพูดขึ้นมาประมาณว่า “นี่เราต้องยืนด้วยขาของตัวเองแล้วหรือ แย่จังเลย!!” (หลังจากที่ให้เครื่องยนต์กลไกทำแทนตัวเองทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งหยิบอาหารเข้าปาก!) ซึ่งมันทำให้คนดูอดคิดต่อไม่ได้ว่า ที่โลกของเราย่ำแย่และก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติในหลายๆ เรื่องอย่างทุกวันนี้อย่างทุกวันนี้ บางที สาเหตุสำคัญก็อาจจะมาจากควากอยากสะดวกสบายอย่างไม่ลืมหูลืมตาของคนเรานี่เอง
แน่นอนครับว่า เหตุการณ์ใน WALL•E ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอนาคตกาล แต่เราจะปฏิเสธได้อย่างล่ะว่า เหตุการณ์แบบในหนังเรื่องนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ในเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เริ่มส่อเค้าลางที่เลวร้ายบางอย่างให้เห็นบ้างแล้วอย่างชัดเจน จริงไหม?
เหนืออื่นใด ถึงแม้ WALL•E จะมีตัวละครหลักเป็นหุ่นยนต์ แต่เนื้อหาของมันพูดถึงคนเป็นหลักใหญ่ใจความ เหมือนหนังอีกหลายๆ เรื่องที่เล่นกับประเด็นวิกฤติของโลกที่มักจะบอกกล่าวกับคนดูว่า โลกจะถึงกาลหายนะหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยเพียงข้อเดียว นั่นก็คือการใช้ชีวิตของคน

ทีมา ผู้จัดการออนไลน์
15 ความคิดเห็น:
วันนี้ วันแม่ตื่นเช้าแล้วพาแม่ไปดูหนังเรื่องนี้เลย
แม่ของพี่ หรือแม่ของลูกคับพี่หนิง
**ตั้งใจจะไปดูเรื่องนี้ เพราะได้ชมตัวอย่างหนังแล้วน่าสนุก มีความหมายอีกแง่มุมหนึง**
Hey Blogger
ขอตัวหนังสือใหญ่หน่อย ดิ
อ่านไม่ค่อยชัด เพราะสูงวัยแล้วว่ะ
รูปที่ Load มาชัดมากๆๆ ทั้งน้องเก๋ และไอ้เจ้าหุ่นกระป๋องที่มือถือรางวัลออสการ์
เยี่ยมๆๆๆๆ
แล้วอย่าลืม โปรแกม Premier League ล่ะ
Arthorn Krirk 22 (Tarawadee)
รับแซบ คับพี่
ขอรับรองว่าหนังเรื่องนี้ดีมาก ดูได้ทั้งครอบครัว
ฐานะที่ทำธุรกิจในวงการนี้ ทุก ๆ คนควรดู แล้วจะไม่ผิดหวัง ขอบอก
หุ่นยนต์คล้ายๆแบบนี้ เคยดูในหนังเรื่องอะไร..จำไม่ได้แล้วคะ ก็สนุกดีเหมือนกัน (ถ้าพี่ว่าสนุก..ก็ต้องตามไปดูกันหน่อยหละ)
ช่วง 27 นาทีแรก(ถ้า น่าหลับ..ไม่เข้าไปดูจะตามหนังทันมั้ยคะ หรือเตรียมหมอนไปดีกว่า55)
เอ้า พี่น้องครับ
กูรูหนัง คุณสุบดินทร์บอกว่าดี ก็ต้องดีครับ ต้องรีบไปดูครับ
ไปดูหนังไปโรงหนังแล้วปวดหัวอ่ะคับพี่
นั่งกิน.......สบายกว่ากันเยอะ
พาเด็กๆ ไปดูก็น่าจะดีนะคะ
ไมไม่มาเรียนอ่ะพี่ยันฮี
ตั้ม
ยันฮี คืออะไรฤา วานบอก
ใช่ชื่อเดียวกับโรงพยาบาลหรือเปล่า เห็นพูดบ่อยๆๆๆๆ
ใช่คับพี่
เป็นฉายาของพี่หนิงอ่ะคับ
5555
**ไปดูมาแล้วค่ะ เป็นที่น่าดูมาก สอดคติคำสอนไว้หลายอย่าง ตอนจบเกือบเสียน้ำตาไหมล่ะเรา**
แสดงความคิดเห็น