วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

เก็บตก ฝากส่งงาน อาจารย์ พีระพร Quiz #2

492-04-1041 นายจเร แจ้งจุล

ตอบ

Employee Self Service (ESS) คือ ระบบการบริหารงานบุคคล ระบบใหม่ ทางบริษัทฯ ได้พัฒนามาโดยทำงานภายใต้ Organization หรือ ตามผังองค์กร โดยสามารถแบ่งระดับตามความเหมาะสม ที่ได้จัดทำขึ้นมาเพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ด้วยระบบ Work Flow ตามระบบไปยังผู้รับภายในองค์กร เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็ว และตรวจสอบได้ พนักงานสามารถใช้ application ที่เกี่ยวข้องกับการงานข้อมูลของลูกจ้าง เช่น ข้อมูลส่วนตัว สวัสดิการ ค่าล่วงเวลา ค่าตอบแทนต่างๆ โดยทางบริษัทฯ สามารถกำหนดสิทธิการเข้าใช้ของพนักงานได้

ระบบ ESS มี 3 รูปแบบ โดยให้บอกข้อดีข้อด้อย

รูปแบบที่ 1 เป็นแบบที่ Direct to ERP
ข้อดี
Ø Userสามารถเข้าไปแก้ไขข้อมูลได้ด้วยตนเอง
Ø ประหยัดทรัพยากรเพราะระบบมีขนาดเล็ก
Ø ในแต่ละแผนกรับรู้ข้อมูลและสามารถทำความเข้าใจที่ตรงกัน
ข้อด้อย
Ø มีปัญหาด้านความปลอดภัย จึงอาจมีปัญหาข้อมูลรั่วไหลได้
Ø การใช้งานยุ่งยาก

รูปแบบที่ 2 เป็นแบบ Indirect to ERP or other application Read only
ข้อดี
Ø มีการใส่Username และ Password ทำให้มีความปลอดภัย
Ø สามารถทราบได้ว่าใครเป็นคนเข้ามาดูข้อมูล โดยดูผ่าน Username
Ø มีการจัดทำเป็นระบบมากขึ้นแยกแผนกออกจากกัน

ข้อด้อย
Ø มีการใช้งานแบบอ่านได้อย่างเดียวจึงมีข้อจำกัดในการใช้งาน
Ø ระบบมีค่าใช้จ่ายมาก

รูปแบบที่ 3 เป็นแบบ Indirect to ERP or other application
ข้อดี
Ø สามารถแก้ไขข้อมูลและตรวจสอบช่วยลดความผิดพลาดของข้อมูลได้
Ø สามารถทำให้สามารถเก็บ Feedback ได้
Ø ระบบสามารถปรับ แก้ไข เพิ่มเติม ในขั้นตอนการทำงาน

ข้อด้อย
Ø มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการบริหารจัดการ
Ø ปัญหาเรื่องความปลอดภัยของระบบจึงต้องมีการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด

ถ้าท่านเลือก Implement ในบริษัทของท่าน จะเลือกรูปแบบไหน เพราะอะไร
- จะเลือก รูปแบบที่ 2 เพราะว่าพนักงานสามารถรับทราบข้อมูลข่าวสารได้พร้อมกัน โดยช่วยลดข้อผิดพลาดด้านการสื่อสาร และสามารถตรวจสอบเอกสารก่อนมีการแก้ไขข้อมูลเพื่อความถูกต้อง

เก็บตก ฝากส่งงาน อาจารย์ พีระพร Quiz #1







วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

Mont Saint Michel in France

ช่วงนี้เครียด ๆ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านเรากันพอสมควรนะครับ ก็เลยพาไปเที่ยวกันซะหน่อย คราวนี้ไปไกลหน่อยนะครับ ไปฝรั่งเศส กันเลย

พระอารามอันตั้งอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดตื่นตาน่าดูที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เกิดขึ้นเมื่ออัครเทวทูตไมเกิลหรือมิแชลได้มาปรากฎองค์ต่อโอแบร์ต พระราชาคณะ(บิชอบ) แห่งอาวรางช์และมีบัญชาให้สร้างสถานที่เผยแพร่คำสั่งสอนของพระเจ้า บนเกาะที่มีภูเขา เรียกกันในเวลานั้นว่าตองเบ ลักษณะของภูเขาลูกนี้เป็นรูปกรวยคว่ำ สูงเด่นงดงามขึ้นไปจาก หาดทรายชายทะเลของแคว้นบริตตานีในฝรั่งเศส

การก่อสร้างเริ่มแรกทำในระหว่างคริสต์ศักราช 1017-1144 ณ สถานที่อันเป็นที่ตั้งของ โบสถ์เก่าชื่อโนเตรอะดาม-ซู-แตร์ (คุณผู้หญิงใต้ดินของเรา) สร้างกันไปถึงยอดระหว่างสามศตวรรษถัดมา มีการสร้างเพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ รวมทั้งสถานที่ซึ่งสร้างระหว่าง ค.ศ.1211-1218 เพื่อให้ความสะดวก แก่นักแสวงบุญที่ไปพักแรมคราวละเป็นจำนวนนับพัน

ตึกสร้างแบบศิลปะโกธิคที่เด่นมากคือ ตึกลาแมร์เวย หรือ ยอดมหัศจรรย์ ประกอบด้วย หมู่กุฏิโรงทาน กุฏิโรงรับรอง และเป็นที่เลี้ยงอาหาร มีระเบียงซึ่งตกแต่งไว้อย่างงดงามสวยสดใส ช่วยให้ความงามอันแท้จริงของศิลปะโกธิคเด่นชัดขึ้น

ในสมัยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของฝรั่งเศส ไว้ได้ ก็มิได้กักกันรังแกผู้ที่จะไปแสวงบุญที่นี้ ซึ้ายังช่วยให้ความสะดวกปลอดภัยอีกด้วย ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีการสร้างกำแพงป้อมปราการป้องกันศัตรูอย่างแข็งแรง แทนบางส่วนที่พังทะลายไป ที่สร้างใหม่ล้วนใช้ศิลปะแบบโกธิคทั้งสิ้น ยอดแหลมของโบสถ์ ใหญ่สร้างต่อเติมในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี้เอง แต่ยังรักษาศิลปะสมัยกลางไว้อย่างครบถ้วน ดูเหมือนมงกุฎของม่อนผานักบุญมิแชล


รอบ ๆ พระอารามมีหมู่บ้านติดต่อกันไปตามแนวกำแพง ป้องกันข้าศึกที่จะมาจากทางบกและทางทะเล นอกจากกันน้ำขึ้นน้ำลงซึ่งเป็นไปได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผู้แสวงบุญที่จาริกไปเยี่ยมเยียนพระอารามนี้ส่วนใหญ่ จะมาทางบก ผ่านกำแพงค่ายคูประตูป้อมเข้ามา แล้วก็จะเดินเวียนไปตามทางจากล่างไปบนจนถึงยอดระหว่างทางมีร้านค้า บ้านพักเรือนรับรองที่อยู่ประจำของผู้ดูแลรักษาตั้งแต่เป็นคนธรรมดา บาทหลวงผู้น้อยผู้ใหญ่ จนถึงระดับพระราชาคณะ ปัจจุบันอาคารสถานที่ร้ารรวงได้จัดไว้เป็นสัดส่วน มีที่พัก ภัตตาคาร ร้านขายของที่ระลึกอันทันสมัยสำหรับผู้ไปเยี่ยม ประมาณกันว่าม่อนผานักบุญมิแชล นี้ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 400 ฟุต (130 เมตร)

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Happy Birthday อ.พีระพร


Happy birth day for you and God blessing you and your family
hopeful and fun all the year.

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ดินสอกับยางลบ

มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่งกับยางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีหมดอยู่ก้อนหนึ่งดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน
ทำอะไรด้วยกันหน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ หน้าที่ของยางลบก็คือลบมันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ ทุกเวลา
เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า
"เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว"
ยางลบจึงถามว่า"ทำไมล่ะ"
ดินสอจึงตอบกลับไปว่า"ก็เราเขียน นายลบ แล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย"
ยางลบจึงเถียงว่า"เราทำตามหน้าที่ของเรา เราไม่ผิด" ทั้งคู่จึงแยกทางกัน

ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมันแต่...
พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิด ข้อความที่สวยๆ ที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรกมีแต่รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด
มันคิดถึงยางลบจับใจฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไปพอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ
มันคิดถึงดินสอจับใจ

ทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลง เขียนแต่สิ่งที่ดีส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิดเท่านั้นเปรียบการเขียนของดินสอเป็นความทรงจำ ดินสอจดจำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดีแต่ยางลบเปรียบเหมือนการลืมเลือน
ยางลบเลือกที่จะไม่จดจำอะไรไว้เลยเมื่อทั้งสองสิ่งนี้แยกกันอยู่จึงเกิดความไม่สมดุลดังนั้น
เมื่อเพื่อนรักทั้งสองกลับมารวมกันใหม่
ดินสอจดจำแต่สิ่งที่ดีๆไว้ส่วนยางลบก็ลบแต่สิ่งที่ไม่ดีเหมือนการให้อภัยในสิ่งที่ผิดพลาด
การดำเนินชีวิตของเราก็เหมือนดินสอกับยางลบเก็บเรื่องราวดีๆที่ผ่านเข้ามาไว้เป็นความทรงจำที่สวยงามและรู้จักให้อภัยในสิ่งที่ผิดพลาดเราก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุข

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

.+*+. ฤาจะเป็นดั่งน้ำเต็มแก้ว? .+*+.


เรื่องราวของนักศึกษา ป.โท กับอาจารย์สอนวิชาปรัชญา


ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชนเพื่อให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้นด้วยแบบฝึกหัดง่าย ๆ แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด


เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบเหยือกแก้วขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ลูกเทนนิสลงไปจนเต็ม


"พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง?" เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท


แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน..."เต็มแล้ว..."


เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมาแล้วเทกรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบา ๆ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิส อัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก "เหยือกเต็มหรือยัง?"


นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ "เต็มแล้ว..."


เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา เททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทรายไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย
เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง


"เหยือกเต็มหรือยัง?"เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นานหลายคนเดินก้าว เข้ามาก้ม ๆ เงย ๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน....


จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทนเดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น


"คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์"

"แน่ใจนะ"

"แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ"


คราวนี้เขาหยิบน้ำอัดลมสองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอไม่นานน้ำอัดลมก็ซึม ผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


"ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ ๆ ไง" เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น


"ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัวคู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงๆสูญเสียไปไม่ได้...."


"...เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์ ทรายก็คือเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้....เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อนคุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลาชีวิตเต็มแล้ว...เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวดไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน..."


"...ชีวิตของคนเราทุกคน..ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า...เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิตเราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข ใช้ชีวิตเล่นกับลูก ๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมง สองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริง ๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด..."


"...หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา..."

นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม "แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับหมายถึงอะไร?"

เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า "การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่าไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียง ใด ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ...."



ปล. เครดิต คุณ Neyriney

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Grand The F.T auto IV & RATING

ทุกครั้งที่เกม Online ตกเป็นของแสลงสำหรับเยาวชนในสังคมไทย เสียงเรียกร้องของการจัดเรตติ้งเกมก็ดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง 3-4 ปีที่แล้วก็มีเสียงนี้ แต่เมื่อเวลาประโคมข่าวของสื่อจางไป เสียง วิธีการจัดการแก้ไขก็จะเงียบหาย วันนี้เราพาไปคุยกับคนวงในอย่าง พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ Managing Director บ.โชว์ โนลิมิต ผู้ที่คลุกคลีในวงการเกมOff-Online มานานกว่า 10 ปี นอกจากจะมาคุยกันเรื่องหนักๆ ที่ว่าด้วยการจัดเรตติ้ง

วันนี้คนในสังคม Online มีวุฒิภาวะพร้อมแล้วหรือยัง จริงๆ แล้วพวกเขาคิดและอยากได้เรตติ้งแบบ ไหนกันแน่ !?

หลายคนวิคราะห์ว่า วันนี้สังคม Online ยังไม่โตพอจะพูดเรื่องการจัดเรตติ้ง เพราะว่ากันว่าตอนที่สื่อเล่นข่าวเด็กฆ่าแท็กซี่เพราะเลียนแบบเกม GTA ออกสู่สาธารณชน คนในสังคม Online เขาแสดงความคิดเห็นตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อนหลายพันกระทู้ ตอบโต้แบบสาดเสียเทเสียกันสุดๆ เป็นเพราะอะไร


อันดับแรก คำว่าเกม Online มัน “Sensitive” ในสายตาเด็กมากๆ ครับ เอาแค่ปกติเขาเล่นเกมOnline เด็กก็โดนพ่อแม่ดุว่าพออยู่แล้ว ฉะนั้นข่าวแบบนี้เด็กหลายล้านคนมันโดนพ่อ-แม่สอบสวนหนักว่า เล่นเกมอะไร รุนแรงหรือเปล่า มันก็เลยออกมาโวยวายกันยกใหญ่ ซึ่งคนวงนอกเขาก็จะถามทันทีว่า แค่นี้ทำไมต้องออกมาด่าแบบสาดเสียเทเสียกันหนักหนา ข้อเท็จจริงหลักซึ่งเป็นที่มาของกระทู้ตอบโต้มหาศาลก็คือ GTA มันไม่ใช่เกม On line ไงครับ ซึ่งพอตกเป็นข่าวเราก็โดนเหมาว่า “เกม Online” เลว-ชั่วไปซะหมด ซึ่งจริงๆ แล้ว มันเป็นเกมกล่องที่เล่นอยู่กับบ้านคนเดียว ไม่ได้มีลักษณะเป็น “Community” แต่สื่อตีมั่ว โดยสื่อใหญ่ใช้คำว่า “เกม Online มรณะ” และถ้าเป็นเกม Online แท้ๆ มันจะให้บริการได้มันก็ต้องมีผู้เปิดให้บริการในไทย-มีการทำตลาด ซื้อลิขสิทธิ์ ปัจจุบันบ้านเรามีประมาณ 21 บริษัทกับอีก 44 เกมครับ ไม่มีเกมโป๊ เกมรุนแรงอย่างที่สื่อประโคม แบบที่สื่อทำให้ทุกคนเข้าใจ


อย่างเกม Online ทหารยิงกันที่ True ให้บริการอยู่ไม่มีเลือด ไม่รุนแรงเหรอ


มันเป็นเกมเหมือนหน่วยรบบีบีกันแข่งกันยิงเพื่อที่จะไปชิงธงของอีกฝ่าย มันเป็นยุทธกีฬา แต่ว่าเกมอย่าง GTA มันเป็นเกมกล่อง มันจะมีเล่นได้ทั้งเครื่อง Pc-Play 3-X-box 360 ซึ่งจริงๆ แล้วเกม GTA มันมี บ. นิวอีร่า เป็นตัวแทนนำเข้าเกมนี้จากสหรัฐฯ ซึ่งเขาขอ กธ.ผ่านมาแล้ว GTA รวมภาคเสริมมีทั้งหมด 7-8 ภาค ซึ่งภาค 3 ขายดีสุด โดยภาค 4 เมื่อรัฐฯ อนุญาตเขาก็ขายบนแผงได้ปกติ เวลามีเรื่องจะมาโทษเขาไม่ได้ทั้งหมด

หลายคนเชื่อว่าเกม On- offline ที่เน้นความรุนแรง เล่นมากๆ มันทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เหมือนที่เกิดในข่าว ชาว Online เชื่อหรือเปล่า


ผมว่าการที่ใครเล่นเกมอะไรสักเกมหนึ่งแล้วเดินออกไปฆ่าคนได้แบบในข่าวได้จริงๆ มันต้องระดับไม่ธรรมดา มันต้องหัวสมอง วิธีคิดไงที่แบบ… เหมือนเราดูหนังโป๊ ทำไมเราไม่ไปข่มขืนคนทุกคนละ ดังนั้นจะมาบอกว่าการเลียนแบบเกม แล้วเดินออกไปฆ่าคน ผมว่ามันไม่ใช่ แต่ถามว่าเล่น GTA แล้วเกิดความรู้สึกรุนแรงได้ไหม ผมเชื่อว่า “จริง” เพราะว่าโจทย์ของเกมนี้มันโหด มันก็เกิดภาพความสะใจ แต่ถามว่าคนเล่นเกมนี้ทุกๆ คนจะออกไปฆ่าแท็กซี่ ออกไปปาดคอคน พวกเราไม่เชื่อแบบนั้น

ที่สำคัญข่าวก็บิดเบือนอีก เพราะเกม GTA ไม่มีภารกิจให้ตัวละครออกไปฆ่าแท็กซี่เหมือนที่เด็กที่ตกเป็นข่าวอ้าง


ครับ...ใช่ อันนี้ก็เป็นเฟกที่ 2 คือ 1. เกมนี้ไม่ใช่เกม Online 2. คือการฆ่าแท็กซี่ในเกมนี้มันไม่ได้เป็นโจทย์ของเกม แต่โดยระบบที่ GTA ได้รับการยกย่องมากก็เพราะเกมนี้มันสามารถสร้างอิสระให้กับตัวละคร ไม่ต้องดำเนินตามเนื้อเรื่อง ไม่เหมือนเกม “มาริโอ” ที่เล่นกี่รอบก็จะจบเหมือนเดิม แต่ GTA มันดันเป็นว่ามีภารกิจให้ทำเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มมาเฟีย คือ คุณต้องไปปล้น ต้องไปยึดที่นี่ ซึ่งเราสามารถบังคับตัวละครออกนอกโจทย์ได้ เช่น ผู้หญิงเดินมา เราก็เลือกที่จะไปยิง เลือกจะข่มขืนก็ได้ (แต่ต้องมีลูกล่อ-ชน) ซึ่งเกมนี้ก็มีปัญหามีคนสร้างโปรแกรมมาให้เห็นฉากโป๊ในเกมได้ สหรัฐฯ ก็เลยเปลี่ยนเรตติ้งเป็นเรต AO คือเกมโป๊ และเมื่อเกม GTA ได้รับเรต AO ดังนั้นเกมนี้จะถูกนำไปขายในรโหฐาน ไม่เหมือนบ้านเราที่มีอาเฮียเอาาขายไปงั้นๆ ไม่ได้มีความรู้เรื่องเกมเลย แต่ตามประเทศที่เจริญๆ พนักงานที่ถูกเทรนมาอย่างดีจะเคร่งครัดมากๆ ฉะนั้นการที่จะซื้อเกมเรต M ขึ้นไป จะต้องใช้บัตรประชาชน มันจะไม่เหมือนคนไทยที่เห็นแก่เงิน คนต่างประเทศเขารู้ว่าหน้าที่คืออะไร

รู้สึกอย่างไรที่พอเกิดเรื่องไม่ดีกับวงการเกม Computer และสังคม On-Offline ทีไร เสียงการจัดเรตติ้งก็จะดังกระหึ่มทุกๆ ครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน


ถ้าจะตีแผ่มันเป็นเรื่องที่ทุเรศที่สุดแล้ว เพราะว่ากระทรวงไอซีทีเคยทำต้นแบบมาแล้วกว่า 2 ปี แต่ก็ไม่บังคับใช้เขาบอกว่าไม่มี กม.รองรับ พอรัฐฯ ทำอะไรไม่ได้ ทำให้ทุกวันนี้ค่ายเกมในไทยก็จัดเรตติ้งแปะไว้ที่ข้างกล่องด้วยตัวเองแล้ว ดังนั้นเมื่อคุณเป็นภาครัฐเวลามีเรื่องก็อย่าไปโทษเอกชนว่าไม่รับผิดชอบ คำถามคือว่าทีไอ้เกมโป๊ เกมเถื่อนอะไรพวกนี้ คุณเห็นก็เฉยๆ ไม่คิดจะกวาดล้างให้หมดไป



เขาก็อ้างว่าแม้ตำรวจจะมีกฎหมายอยู่ แต่เมื่อไม่มีเจ้าทุกข์มาแจ้งก็จับไม่ได้

แต่คุณตำรวจอย่าลืมว่า เกมเถื่อนน่ะมันไม่เคยมี กธ. เพราะมันไม่เคยส่งเซ็นเซอร์ ฉะนั้นเรื่องนี้ทางออกเดียวก็คือ ต้องปราบแหล่งขาย-ผลิตแผ่นซอฟต์แวร์ แผ่นเกมเถื่อนให้ได้

กลับมาที่เรตติ้ง ในฐานะผู้คลุกคลีกับเกม On-Offline ถ้าประเทศไทยจะต้องจัดกันจริงๆ คุณคิดว่าเราสามารถยก เรตติ้งของอเมริกามาใช้ทั้งดุ้นได้ไหม

จริงๆ แล้วการมีคณะกรรมการเพื่อจัดเรตติ้งมันเป็นเรื่องที่ประเทศมีอารยธรรมจะต้องมีทุกประเทศ เพราะมันคือเรื่องถูกต้อง ถามว่าเราสามารถเอาระบบการจัดเรตติ้งของอเมริกามาใช้ได้ไหม ได้ครับ แต่เด็กที่นั่นจะโตกว่าเรา ฉะนั้นผมเสนอว่าหลายๆ เกมระบุว่า 17 บวก บ้านเราก็ต้องเป็นเรต 18-20 ปีครับ


เมื่อจัดเรตติ้งเกมแล้วคุณเชื่อว่ามันจะช่วยบรรเทาเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝันได้

ครับ แต่สังคมต้องขานรับ ที่สำคัญภาครัฐโดยผู้ที่ถือกม.ต้องปราบปรามซอฟต์แวร์ เกม แผ่นผีเถื่อนให้หมด ทันทีที่ห้างพันธุ์ทิพย์ สะพานเหล็ก ไอทีมอลล์ ตะวันนา สีลม คลองถม ธุรกิจมืดมูลค่านับพันนับหมื่นล้านบาท ถูกปราบแบบจริงจัง ผมว่าการจัดเรตติ้งก็สัมฤทธิผลสูงสุดครับ

คุณบอกว่า แหล่งขายเกม ซอฟต์แวร์ หนัง เถื่อนทุกคนรู้ แล้วทำไมวันนี้ยังมีอยู่ เป็นไปได้ไหมว่า แหล่งพวกนี้ตำรวจไม่รู้

ทำไมจะไม่รู้ แต่ทำหรือไม่ทำเป็นอีกเรื่อง ที่สุดแล้วผมเชื่อว่าการปราบปรามบังคับใช้กฎหมายต้องมาพร้อมกับการจัดเรตติ้งประเทศเราจะได้เจริญๆ วันนี้ผมว่าเราพร้อมกับคำว่า เรตติ้ง แล้วครับ

*************

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

โปรแกรมการแข่งขันล่วงหน้า ประจำฤดูกาล 2007-2008

ใกล้ถึงเวลาเปิดตัวแล้วนะครับ สำหรับแฟนบอลอังกฤษ วันนี้เอาโปรแกรมการแข่งขันมากฝากกันก่อนนะครับ มาดูกันนะครับ ว่าเดือนสิงหาคมนี้ มีใครแข่งกับใคร รักใครชอบใครก็เชียร์กันไปนะครับ
แต่อย่าเล่นการพนันนะครับ มันไม่ดี ไม่ใช่มาพนันกับผมม่ะ หุหุหุ.......
ถ้าใครสนใจ ข่าวคราวหรือโปรแกรมการแข่งขันเดือนอื่น ๆ ชมได้ที่นี่เลยครับ ==> http://www.premierleague.com


ขอบคุณ http://www.premierleague.com


วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

WALL•E หุ่นยนต์โรแมนติกพลิกวิกฤติโลก หนังดีๆ ที่มนุษยชาติต้องดู!

โดย...อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว แอนิเมชั่นกวนโอ๊ยเหลือรับประทานอย่าง The Simpsons Movie พาตัวเองเข้าไปคลุกวงในกับปัญหาภาวะโลกร้อน พร้อมสื่อสะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดจากการกระทำอันไร้จิตสำนึกของมนุษย์ มาปีนี้ ผลงานแอนิเมชั่นใหม่เอี่ยมจากชายคาพิกซาร์อย่าง WALL•E ก็ไม่ยอมน้อยหน้า และดูท่าว่าจะ “ไปไกล” ยิ่งกว่าเดอะ ซิมป์สันส์หลายช่วงตัว ด้วยประเด็นเนื้อหาที่คาดการณ์ล่วงหน้าถึงวันที่โลกใบนี้ถึงจุดหายนะอย่างสมบูรณ์แบบชนิดที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” ไม่อาจอยู่อาศัยได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับครับว่า นี่คือหนึ่งในแอนิเมชั่นแห่งปีที่มีผู้คนรอชมมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ขณะเดียวกันนั้นก็มีคำทำนายล่วงหน้าจากหลายๆ คนแล้วว่า นี่อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ค่ายหนังชื่อดังอย่างพิกซาร์ (ใต้หลังคาของวอลท์ ดิสนี่ย์) มีโอกาสได้ครอบครองถ้วยรางวัลออสการ์ในสาขาแอนิเมชันติดต่อกันสองสมัยซ้อน (หลังจาก Ratatouille คว้าชัยมาได้เมื่อครั้งที่ผ่านมา)

เห็นด้วยครับว่า WALL•E มีโอกาสเข้าไปยืนอยู่แถวแรกๆ บนเวทีประกวดออสการ์ปีหน้าแน่นอน เพราะต่อให้เราแกล้งทำลืมๆ ไปก่อนว่า นี่เป็นหนังที่สร้างโดยสำนักแอนิเมชันยักษ์ใหญ่ระดับโลกแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า WALL•E สามารถแตะประเด็นร่วมยุคร่วมสมัยได้ตรงจุดมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ออสการ์มีหรือจะมองข้ามผลงานแบบนี้ไปได้ เพราะโดยปกติ ออสการ์ก็ “พยายาม” ทำตัวเองให้ร่วมสมัยไม่ตกเทรนด์อยู่แล้วเช่นกัน

ถ้ายังนึกภาพไม่ออกก็ลองคิดถึง There Will Be Blood ที่แม้จะพลาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปเมื่อครั้งที่แล้ว แต่การที่ออสการ์ปล่อยให้หนังเรื่องนี้หลุดเข้าไปจนถึงโค้งสุดท้ายก็มีนัยยะที่บ่งบอกถึงความเป็นออสการ์ได้ระดับหนึ่งว่า พวกเขาไม่ละเลยประเด็นปัญหาร่วมสมัยที่กำลังขย่มโลกอยู่ (ซึ่งก็คือวิกฤติเกี่ยวกับเรื่องพลังงานน้ำมัน)

แต่เอาเถอะ เส้นทางออสการ์นั้นยังอีกไกล และในตอนนี้ ไปดูความน่าสนใจของ WALL•E กันก่อนดีกว่า...

แน่นอนครับว่า ถ้าพูดถึงค่ายหนังชื่อดังอย่างพิกซาร์ อย่างแรกเลยที่ต้องยกเครดิตให้ก็คือ ความช่างคิดในการสร้างตัวละครที่ทำให้คนดูรู้สึกประหลาดใจได้เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสกสร้าง “สิ่งไร้ชีวิต” (ส่วนใหญ่เป็นของเล่นสำหรับเด็ก) ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตและมีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับมนุษย์นั้นถือเป็นมุกเด็ดอย่างหนึ่งซึ่งพิกซาร์ทำได้ดีเสมอมา

มาคราวนี้ พิกซาร์ก็ทำเก๋อีกครั้งด้วยการสร้างตัวละครที่แม้จะเป็นหุ่นยนต์ แต่ก็มีสัดส่วนของ “ความเป็นคน” อยู่ในตัวเองค่อนข้างสูง ถ้าไม่ติดที่ว่าร่างกายของมันเป็นเหล็กแล้ว ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ก็แทบไม่มีอันใดแตกต่างจาก “มนุษย์” คนหนึ่ง

เรื่องราวของหุ่นยนต์หนุ่มน้อยที่มีชื่อว่า วอลล์อี (WALL•E) เริ่มต้นขึ้นในวันที่โลกรกล้นไปด้วยขยะจนกระทั่งมนุษยชาติไม่อาจอยู่อาศัยได้ และต้องพากันอพยพไปอยู่ในยานอวกาศ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหล่ามนุษย์รุดหน้าสู่ “บ้านหลังใหม่” นั้น พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าตนเองได้ทอดทิ้งหุ่นยนต์น้อยตัวหนึ่งเอาไว้เพียงลำพัง

อันที่จริง เจ้าหุ่นยนต์ตัวน้อยนี้เป็นหนึ่งในหุ่นยนต์หลายพันตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อภารกิจเก็บขยะโดยเฉพาะ ดังนั้น แม้ว่า “เขา” จะถูกทิ้งไว้อย่างนั้น แต่ทุกๆ วัน เจ้าวอลล์อีก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ลดละ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันตามมาอีกมากมาย เมื่อหุ่นยนต์สาวน้อยอีกตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นมา...

ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นครับว่า เนื้อหาหลักๆ ของหนังเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงสถานการณ์วิกฤติโลกที่ถือเป็น “ความเป็นความตาย” ของมนุษยชาติ และคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า WALL•E กำลังส่งเสียงเตือนบางอย่างใส่หูและจิตสำนึกของมนุษย์ทุกผู้ทุกคน

ภาพของเจ้าหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ ที่เคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางเศษขยะที่กองเกลื่อนระเกะระกะท่วมบ้านท่วมเมืองนั้น นอกจากจะเป็นการทำนายถึงโลกในอนาคตได้อย่างเห็นภาพแล้ว ขยะเหล่านี้แท้ที่จริงก็คือผลพวงอันเลวร้ายอีกแบบหนึ่งซึ่งเกิดจากความมักง่ายในการใช้ชีวิตของคนเรานั่นเอง

ฟังๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องเครียด แต่เปล่าเลยครับ เพราะถึงแม้ WALL•E จะมีประเด็นที่ค่อนข้างจริงจังซีเรียส แต่วิธีการเล่าเรื่องก็ยังคงความเป็นการ์ตูนที่ดูสนุกเอาไว้อย่างครบถ้วนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างไรก็ดี ถ้าจะมองว่าหนังเรื่องนี้มีปัญหาอยู่บ้างก็คงเป็นในช่วงแรกๆ ที่เดินเรื่องค่อนข้างช้าและวนเวียนอยู่กับการนำเสนอภาพหุ่นยนต์น้อยทำงานเก็บขยะนานไปหน่อย และกว่าจะปล่อยบทพูดคำแรกออกมาก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง (ประมาณนาทีที่ 27!)

ผมเข้าใจว่า ที่หนังทำแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึง “ภาวะโดดเดี่ยว” ของเจ้าหุ่นยนต์วอลล์อี แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงตอนนี้ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักว่า มันจะน่าเบื่อแค่ไหนสำหรับคนดูหนังชาวไทยส่วนหนึ่งซึ่งอาจจะ “เข้าใจ” และ “ยึดมั่นถือมั่น” ว่า หนังที่ดีต้องมี “บทพูด” (ไม่แปลกใจเลย ถ้าใครสักคนจะชิงงีบหลับไปก่อนแล้วตั้งแต่ช่วง 10 นาทีแรก!)

ดังนั้น ขออนุญาตแนะไว้ก่อนเลยครับว่า ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกอาจจะต้องทำใจเย็นๆ สักหน่อย ค่อยๆ ละเลียดและเก็บเกี่ยวความรู้สึกไปทีละเล็กละน้อย เพราะถ้าผ่านช่วงแรกที่ผมพูดถึงนี้ไปได้ ถัดจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว


มีอีกส่วนหนึ่งซึ่งหนังทำได้ดีและผมเชื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในใจคนดูไปอีกนาน นั่นก็คือ การดีไซน์คาแรกเตอร์ของเจ้าหุ่นยนต์วอลล์อีให้มีความช่างคิดช่างฝันและโรแมนติก ดังที่เราจะได้เห็นว่าในขณะที่ “เขา” ทำหน้าที่เก็บกวาดและย่อยสลายเศษขยะอยู่ทุกวี่วันนั้น ลึกลงไปในใจ หุ่นยนต์หนุ่มน้อยก็เฝ้าฝันว่าจะมี “ใครสักคน” ที่เข้ามาช่วยปัดกวาดและย่อยสลายความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาให้หมดไปจากใจเขาเช่นเดียวกัน (ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับคนเหงาหลายๆ คนที่โหยหาเพื่อนและต้องการรัก)

นอกเหนือไปจากความโรมานซ์น่ารักน่าชังของหุ่นยนต์ตัวน้อยๆ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งคนดูน่าจะรู้สึกได้คล้ายๆ กันก็คือ WALL•E เป็นหนังอีกเรื่องที่เหน็บแนมสังคมมนุษย์ได้ตรงจุดที่สุด แม้จะไม่ก่อให้เกิดบาดแผลเหวอะหวะอะไรมาก แต่ก็แสบๆ คันๆ พอประมาณ

ผมชอบตอนที่มนุษย์คนหนึ่งพูดขึ้นมาประมาณว่า “นี่เราต้องยืนด้วยขาของตัวเองแล้วหรือ แย่จังเลย!!” (หลังจากที่ให้เครื่องยนต์กลไกทำแทนตัวเองทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งหยิบอาหารเข้าปาก!) ซึ่งมันทำให้คนดูอดคิดต่อไม่ได้ว่า ที่โลกของเราย่ำแย่และก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติในหลายๆ เรื่องอย่างทุกวันนี้อย่างทุกวันนี้ บางที สาเหตุสำคัญก็อาจจะมาจากควากอยากสะดวกสบายอย่างไม่ลืมหูลืมตาของคนเรานี่เอง

แน่นอนครับว่า เหตุการณ์ใน WALL•E ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอนาคตกาล แต่เราจะปฏิเสธได้อย่างล่ะว่า เหตุการณ์แบบในหนังเรื่องนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ในเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เริ่มส่อเค้าลางที่เลวร้ายบางอย่างให้เห็นบ้างแล้วอย่างชัดเจน จริงไหม?

เหนืออื่นใด ถึงแม้ WALL•E จะมีตัวละครหลักเป็นหุ่นยนต์ แต่เนื้อหาของมันพูดถึงคนเป็นหลักใหญ่ใจความ เหมือนหนังอีกหลายๆ เรื่องที่เล่นกับประเด็นวิกฤติของโลกที่มักจะบอกกล่าวกับคนดูว่า โลกจะถึงกาลหายนะหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยเพียงข้อเดียว นั่นก็คือการใช้ชีวิตของคน


ทีมา ผู้จัดการออนไลน



เหรียญทองมาแล้ว “เก๋” คว้าชัยแถมทุบสถิติโอลิมปิก

"น้องเก๋" ประภาวดี

“น้องเก๋” ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล คว้าเหรียญทองรุ่น 53 กิโลกรัมหญิง เป็นเหรียญแรกให้ทีมชาติไทย ในโอลิมปิก 2008 พร้อมยังทำลายสถิติโอลิมปิกในท่าคลีนแอนด์เจิร์กอีกด้วย

การแข่งขันกีฬายกน้ำหนักในมหกรรมโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2551 มีการชิงชัยกัน 2 เหรียญทอง จากรุ่นน้ำหนัก 53 กิโลกรัมหญิง และรุ่นน้ำหนัก 56 กิโลกรัมชาย

โดยในรุ่น 53 กิโลกรัมหญิงนั้น ทีมชาติไทยส่ง “น้องเก๋” ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ความหวังเหรียญทองที่ชวดโอกาสไปลุยเอเธนส์เกมส์ เมื่อ 4 ปีก่อนแบบฉิวเฉียดลงแข่งขันด้วย เริ่มการแข่งขันด้วยท่าสแนทช์ ซึ่ง ประภาวดี เรียกน้ำหนักในครั้งแรกที่ 92 กิโลกรัม และก็ผ่านไปได้แบบสบายๆ ขณะที่ตัวเต็งในรุ่นนี้อย่าง ยูน จินฮี จากเกาหลีใต้ เรียกน้ำหนักครั้งแรกที่ 94 กิโลกรัม ซึ่งก็ผ่านไปแบบไร้ปัญหาเช่นกัน ด้าน นาสตาสเซีย โนวิกาวา ตัวเต็งอีกรายจาก เบลารุส เรียกน้ำหนักครั้งแรกที่ 92 กิโลกรัม และก็ทำสำเร็จ

สำหรับการยกในครั้งที่ 2 สาวไทยเรียกน้ำหนักที่ 95 กิโลกรัม ก่อนออกมายกผ่านไปได้ แต่ ยูน จินฮี คู่แข่งกลับเรียกน้ำหนักครั้งที่ 2 ไปที่ 97 กิโลกรัม ทว่า ยกไม่ผ่าน ส่วน โนวิกาวา เรียกน้ำหนักที่ 95 กิโลกรัม และก็ผ่านมาได้เช่นกัน

ขณะที่การยกครั้งที่ 3 ของ ประภาวดี เรียกน้ำหนักที่ 97 กิโลกรัม แต่กลับยกไม่ผ่าน ส่วน จินฮี นั้นยกครั้งที่ 3 ที่น้ำหนัก 97 กิโลกรัม แต่ก็ยังไม่ผ่านอีกครั้ง ทำให้สาวแดนโสมยกในท่านี้ได้สถิติ 94 กิโลกรัม ด้าน โนวิกาวา ที่เรียกน้ำหนัก 97 กิโลกรัม ก็ยกไม่ผ่านเช่นกัน ทำให้ท่าสแนทช์ “น้องเก๋” ทำได้ 95 กิโลกรัม เท่ากับจอมพลังสาวจากเบลารุส ทว่า น้ำหนักตัวของสาวไทยน้อยกว่า จึงได้เป็นผู้นำในการยกน้ำหนักท่าสแนทช์

กลับมายกกันต่อในท่าคลีนแอนด์เจิร์ก โนวิกาวา เรียกเหล็กที่ 116 กิโลกรัม ทว่ายกไม่ผ่านในครั้งแรก โดยการตัดสินจากผู้ตัดสิน 2 ใน 3 แต่ก็มายกได้ในครั้งที่ 2 ขณะที่ ยูน จินฮี เรียกน้ำหนักครั้งแรกในท่านี้ที่ 116 กิโลกรัมเท่ากัน แต่ยกผ่านไปได้ ส่วนครั้งที่ 2 จินฮี เรียก 118 กิโลกรัม และก็ยกผ่านได้อีก มาถึงการยกในครั้งสุดท้ายสาวแดนโสมเรียกน้ำหนักที่ 119 กิโลกรัม และก็สามารถยกผ่านได้

ขณะที่ “น้องเก๋” ออกมายกครั้งแรกที่ 120 กิโลกรัม และก็ผ่านได้แบบไม่น่าเป็นห่วงเลย พร้อมกับคว้าเหรียญทองมาครองได้เมื่อมีน้ำหนักรวมที่ยกได้เหนือกว่าคู่แข่งทุกคน อย่างไรก็ตาม จอมพลังสาวไทยเหลือการยกน้ำหนักอีก 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 ยกได้ 126 กิโลกรัม พร้อมกับทำลายสถิติโอลิมปิกท่าคลีนแอนด์เจิร์กที่ 121 กิโลกรัมไปแล้ว ส่วนครั้งที่ 3 ยกที่ 130 กิโลกรัม แต่ก็ไม่สำเร็จ

ส่งผลให้ ประภาวดี คว้าเหรียญทองไปครองด้วยน้ำหนักรวม 221 กิโลกรัม (สแนทช์ 95 กิโลกรัม, คลีนแอนด์เจิร์ก 126 กิโลกรัม) ส่วนเหรียญเงินตกเป็นของ ยูน จินฮี จากเกาหลีใต้ ทำน้ำหนักรวม 213 กิโลกรัม (สแนทช์ 94 กิโลกรัม, คลีนแอนด์เจิร์ก 119 กิโลกรัม) ขณะที่เหรียญทองแดงเป็นของ นาสตาสเซีย โนวิกาวา จาก เบลารุส ที่ทำน้ำหนักรวมได้ 213 กิโลกรัม เท่ากับสาวเกาหลี แต่ได้อันดับ 3 เพราะน้ำหนักตัวมากกว่า (สแนทช์ 95 กิโลกรัม, คลีนแอนด์เจิร์ก 118 กิโลกรัม)

โดย ผู้จัดการออนไลน

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หลายคนที่ได้ยลโฉมมาสคอตโอลิมปิกปักกิ่ง 2008 อาจจะยังสงสัยในความหมายแฝงที่มากับเด็กน้อยนำโชคทั้ง 5 ที่เจ้าภาพบอกว่า แทนสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายมงคลในหลายด้านตามแบบฉบับศิลปะจีนโบราณ ที่นิยมใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ส่งมอบความสุขซึ่งกันและกัน

เริ่มจากเป้ยเป้ย (福娃贝贝 / Beibei) จะทำหน้าที่ส่งมอบความเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากตามวัฒนธรรมจีน ภาพเขียนพู่กันรูป ‘ปลา’ และ ‘น้ำ’ จะแทนสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จ นอกจากนั้น คำว่าปลาในภาษาจีนที่ออกเสียงว่า ‘อี๋ว์’ ยังพ้องเสียงกับคำที่หมายถึง ‘มีกินมีใช้เหลือเก็บ’ ส่วนหัวของหนูน้อยเป้ยเป้ย ยังประดับด้วยลวดลายปลาที่นิยมในยุคเครื่องมือหินใหม่ของจีน อุปนิสัยเป้ยเป้ยบริสุทธิ์อ่อนโยน เป็นยอดฝีมือแห่งกีฬาทางน้ำ แทนห่วงสีฟ้าในสัญลักษณ์โอลิมปิกสากล

ถัดมาที่จิงจิง ( 福娃晶晶 / Jingjing) เป็นหมีแพนด้าหน้าตายิ้มแย้มไร้เดียงสา ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะนำความสุขสดใสไปมอบให้ทุกคน หมีแพนด้าเป็นทั้งสมบัติล้ำค่าของชาติจีน และยังเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก จิงจิงมาจากป่าไม้อันกว้างใหญ่ แทนความสมานฉันท์อันดีระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ส่วนหัวของหนูน้อยจิงจิงประดับด้วยลวดลายกลีบดอกบัวตามลักษณะเครื่องเคลือบสมัยซ่ง หนูน้อยจิงจิงไร้เดียวสามองโลกในแง่ดี มีพละกำลังเต็มเปี่ยม แทนห่วงสีดำในสัญลักษณ์โอลิมปิกสากล

ฮวนฮวน หรือหนูน้อยลูกไฟ (福娃欢欢 / Huanhuan) เป็นพี่ใหญ่ในบรรดาเด็กน้อยนำโชคทั้ง 5 และเป็นสัญลักษณ์ของไฟโอลิมปิก ฮวนฮวนเป็นตัวแทนของอารมณ์ที่ฮึกเหิมของนักกีฬา และจะส่งมอบจิตวิญญาณของกีฬาโอลิมปิกที่สนุกสนานและเข้มแข็งไปยังทุกสถานที่ที่ไปถึง

เครื่องประดับบนศีรษะของฮวนฮวนมีต้นแบบมาจากลวดลายของเปลวไฟในภาพบนผนังของถ้ำผาม่อเกาคู เมืองตุนหวง ในมณฑลกันซู่ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน นิสัยของฮวนฮวนชอบแสดงออก เชี่ยวชาญกีฬาประเภทบอลทุกชนิด เป็นตัวแทนห่วงสีแดงในสัญลักษณ์โอลิมปิกสากล

ส่วนอิ๋งอิ๋ง (福娃迎迎 / Yingying) คือละมั่งทิเบตที่เฉลียวฉลาด คล่องแคล่วว่องไว มาจากพื้นที่ภาคตะวันตกที่กว้างสุดลูกหูลูกตาของจีน ส่งมอบความสุขสมบูรณ์ที่แข็งแรงให้แก่โลก อิ๋งอิ๋งเป็นละมั่งทิเบตสัตว์สงวนของที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต เป็นการแทนความหมายของโอลิมปิกสีเขียว (หรือโอลิมปิกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) ในครั้งนี้ด้วย

เครื่องประดับศีรษะของอิ๋งอิ๋งเป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบเครื่องประดับของที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตและเขตต่างๆ อาทิ ซินเจียงในภาคตะวันตกของจีน มือเท้าของอิ๋งอิ๋งว่องไว เป็นนักกีฬาที่เชี่ยวชาญกรีฑาทั้งลานและลู่ เป็นตัวแทนของห่วงสีเหลืองในสัญลักษณ์โอลิมปิกสากล

หนูน้อยคนสุดท้ายนีนี (福娃妮妮 / Nini) มาจากฟากฟ้านภากาศ เพราะเป็นนกนางแอ่นที่กำลังสยายปีก รูปลักษณ์ของนีนีได้มาจากว่าวนางแอ่นดั้งเดิมของปักกิ่ง “นางแอ่น” ยังเป็นตัวแทนของ “เยียนจิง” (ชื่อในสมัยโบราณของเมืองปักกิ่ง) นีนีจะนำพาฤดูใบไม้ผลิและความเบิกบานมาสู่มวลมนุษย์ และโปรยปรายคำอวยพร “ขอให้โชคดี” ยังทุกที่ที่บินผ่าน นิสัยของนีนี ไร้เดียงสาไม่เป็นพิษเป็นภัย ความเบิกบานอยู่เป็นนิจของนีนีจะส่องประกายบนสนามแข่งขันยิมนาสติก เป็นตัวแทนห่วงสีเขียวในสัญลักษณ์โอลิมปิกสากล.

โดย ผู้จัดการออนไลน
เรียบเรียงจาก ไชน่าอีโคโนมิกส์เน็ต

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

The Dark Knight


หลังจาก Batman Begins พาฮีโร่ค้างคาวกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ภาคต่อก็ถูกสร้างต่อทันที โดยผู้กำกับคนเดิม คริสโตเฟอร์ โนแลน แบทแมนหน้าเก่า คริสเตียน เบล รวมไปถึง ตัวละครอื่นๆ ทุกคนพร้อมใจกันกลับมาสานต่อความสนุกที่ภาคแรกได้สร้างไว้ สบทบด้วยตัวร้ายหน้าใหม่ที่นำความหวาดกลัวมาสู่ชาวเมืองกอธแธม

ฮีธ เลดเจอร์ ในบท เดอะโจ๊กเกอร์เมื่อมีแสงสว่างก็ย่อมมีความมืด ทันทีที่ ฮาร์วีย์ เดนท์ (แอรอน เอ็กฮาร์ท) อัยการเขตผู้เป็นความหวังของคนทั้งเมืองลุกขึ้นจัดการกับอาชญากร โดยมี ผู้หมวดจิม กอร์ดอ(แกรี่ โอลด์แมน) และ แบทแมน คอยสนับสนุน ความชั่วร้ายอย่าง โจ๊กเกอร์ ก็เคลื่อนไหว หนังนำพาผู้ชมเข้าสู่โลกที่ไม่มีทั้งขาวบริสุทธิ์ และ ทั้งดำสนิท ทุกตัวละครล้วนมีด้านตรงข้ามแฝงอยู่ในใจ

ความสนุกของหนังต่างไปจากที่ใครคาดคิดไม่น้อย เพราะหากคุณหวังว่าจะได้พบฮีโร่ที่เก่งกล้าเกินคน ฉากต่อสู้สุดมัน หรือของเล่นไฮเทคมากมาย ต้องขอโทษหนังเรื่องนี้จะมีให้คุณไม่มาก แต่ตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่านั้นคุณจะได้บางอย่างที่ต่างออกไปจากหนังแนวนี้ ไม่มีพลังเหนือมนุษย์ ไม่มีลูกเล่น มีแต่ความกดดันการทดสอบตัวเอง และ คำนิยามใหม่ของ ฮีโร่

หลังจากข่าวการเสียชีวิตของ ฮีธ เลดเจอร์ ที่แสดงเป็นโจ๊กเกอร์ หลายคนเฝ้ารอที่จะได้เห็นตัวร้ายตัวนี้ในหนัง ความคาดหวังถูกยกระดับขึ้นไปอีกในใจผู้เฝ้ารอการกลับมาครั้งนี้ แล้วเมื่อได้ชม คุณก็จะไม่มีวันลืมโจ๊กเกอร์อีกเลยในชีวิต ในโลกภาพยนตร์มีตัวร้ายสักกี่คนที่น่าสะพรึงกลัวทุกครั้งที่ปรากฎตัว ยิ่งกว่านั้นมีสักกี่คนกันที่ทำให้คนหัวเราะในการกระทำบางอย่าง ทั้งๆ ที่คุณกลัว?

ความยอดเยี่ยมหลายอย่างในหนังคงต้องชื่นชม ผู้กำกับที่ควบด้วยตำแหน่งเขียนบทเป็นพิเศษ เพราะการใส่ประเด็นต่างๆ เข้าไปในหนังพร้อมๆ กับทำให้มันดูสนุกไปพร้อมกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย เรียกได้ว่าคุณจะต้องคิดทุกๆ สิบนาที ว่าได้ความดีความชั่วในตัวคนเรามันมีที่มาที่ไปจากอะไรบ้าง ทำไมตัวละครถึงตัดสินใจอย่างนั้นทำไมแบทแมนไม่ระเบิดหัวโจ๊กเกอร์ทิ้งซะ พร้อมกับดูหนังที่ลุ้นไปด้วยตลอด การหักเหลี่ยมเฉือนคม ทดสอบประสาท และฉากต่อสู้ ใช้เครื่องมือไฮเทค ที่ดูลงตัวไปเสียทุกอย่าง

แล้ว ทูเฟซ ก็ถือกำเนิด การปลดปล่อยด้านมืดในตัว อัยการเขต ฮาร์วีย์ เดนต์ ผู้เป็นแสงสว่างย้ำถึงสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี โจ๊กเกอร์ชนะในการเล่นกับความเลวร้ายที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์ คนทุกคนเมื่อถึงจุดหนึ่งจะปลดปล่อยตัวตนที่ชั่วร้ายออกมา แต่นั้นไม่ใช่บทสรุปสุดท้าย

ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ คำกล่าวนี้ฟังดูจะ เป็นบทสรุปตามสูตรไปหน่อย แต่ป่าวเลย สิ่งที่โจ๊กเกอร์ได้พยายามทำมาทั้งหมดสิ้นสุดลง ความเห็นแก่ตัวกลัวตายไม่ได้เปลี่ยนคนให้ชั่วร้ายได้ทั้งใจ เมื่อทุกคนถึงจุดที่ก้าวข้ามความกลัวไปได้ ไม่ว่าแบทแมน หมวดกอร์ดอน หรือคนธรรมดา ก็พร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวม ถึงแม้จะต้องทิ้งตัวเองให้กลายเป็น อัศวินในความมืดมิด ก็ตาม

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

จิ๊กซอว์ ที่ไม่ได้อยู่ข้างกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Forward mail
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต


บนโต๊ะตัวหนึ่ง มีจิ๊กซอว์กระจัดกระจายอยู่เต็มเกลื่อนกลาด ยังไม่มีชิ้นไหนถูกปะติดปะต่อกัน

ที่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง จิ๊กซอว์สองตัวนอนสงบนิ่งอยู่ใกล้ๆกัน ลวดลายของทั้งสองเป็นสีฟ้าอ่อนของท้องฟ้ายามเช้าเหมือนกัน คล้ายๆว่าจะเป็นจิกซอว์ที่อยู่ข้างกันในรูปที่สมบูรณ์

จิ๊กซอว์ทั้งสองตัวจึงค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหากัน เริ่มหมุนตัวช้าๆ พยายามหามุมที่จะประสานกับอีกฝ่ายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ใช้ส่วนเว้าของเรา ไปสอดรับกับส่วนโค้งของเขา หาส่วนเว้าแหว่งของเขา มารับส่วนป้านเทอะทะของเรา..... ทั้งคู่พยายามอยู่อย่างนั้น......

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จิ๊กซอว์ทั้งสองพยายามอย่างมากที่จะต่อกันให้สนิท มุมแล้วมุมเล่าที่ลองปรับ เหลี่ยมแล้วเหลี่ยมเล่าที่พยายามประสาน ไม่มีครั้งไหนจะต่อกันได้อย่างสนิทไร้ช่องว่างส่วนเกินเลย
สุดท้าย จิ๊กซอว์ตัวที่ใหญ่กว่าจึงยอมแพ้ เคลื่อนตัวจากไป จิ๊กซอว์ตัวเล็กกว่าร้องเรียกด้วยเสียงโศกเศร้า






"เธอจะไปไหน ฉันทำผิดอะไรเหรอ เธอถึงต้องจากฉันไป ฉันไม่ดีตรงไหน ทำไม.... เธอต้องยอมแพ้แบบนี้ด้วย เธอไม่สงสารฉันเลยหรือ ไม่เสียดายวันเวลาที่เรา พยายามต่อประสานให้เป็นหนึ่งเดียวกันหรือ"


จิ๊กซอว์ตัวใหญ่หันกลับมาด้วยสีหน้าปวดร้าว เอ่ยเสียงเรียบ
"ทำไมเธอถึงคิดว่าเธอทำผิด การที่เราต่อกันเป็นชิ้นเดียวไม่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ไม่ใช่ความผิดของฉัน เพียงเพราะว่าเราไม่ได้เป็นจิกซอว์ที่ถูกออกแบบมาให้อยู่ข้างกันก็เท่านั้น และฉันก็กำลังยอมรับมันด้วยความเจ็บปวด....

ฉันเสียใจที่ทำเธอบอบช้ำจากการที่เราพยายามดัดตัวเองให้ประสานกับอีกฝ่าย แต่ก็รู้ใช่ไหม ว่าฉันก็บอบช้ำไม่ต่างกับเธอเลย เวลาและความพยายามของเรามันไม่สูญเปล่าไปหรอก เพราะอย่างน้อย มันก็ทำให้เรารู้ว่าส่วนโค้งของเรามันโค้งแค่ไหน ส่วนเว้าของเรามันลึกเท่าไหร่ และเราควรจะหาจิ๊กซอว์รูปร่างแบบไหน มาเติมเต็มช่องว่างที่เราขาดไป ร้องไห้อยู่ตรงนั้นเถิด และทิ้งความโศกเศร้าทั้งหมดไว้ตรงนั้น
เมื่อเธอแข็งแรงดีแล้ว เธอจงตามหาจิ๊กซอว์ตัวที่ถูกสร้างมาอยู่ข้างๆเธออย่างแท้จริง..... ถึงวันนั้นเธอคงเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดในวันนี้"
จิ๊กซอว์ตัวใหญ่จากไปแล้ว แต่เรื่องราวยังดำเนินต่อไป ร่องรอยบอบช้ำและเสียงร้องไห้ของตัวจิกซอว์มากมาย ยังคงแว่วมาจากทั่วทุกจุดบนโต๊ะ........

สุดท้ายแล้ว จิ๊กซอว์ของภาพชื่อความรักนี้จะถูกประกอบเป็นรูปที่สมบูรณ์สวยงามได้หรือไม่....ไม่มีใครรู้ และถึงตอนนี้ จิ๊กซอว์ตัวเล็กผู้น่าสงสารตัวนั้น จะเข้าใจสิ่งที่จิ๊กซอว์ตัวใหญ่พูดหรือยัง.....ไม่มีใครรู้ ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของจิ๊กซอว์ตัวใหญ่ทั้งหมดคือความจริงหรือเป็นเพียงข้อแก้ตัว....ยิ่งไม่มีใครรู้
......เมื่อไหร่จะมีใครรู้......




วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความเร้นลับของ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้






ตอนที่ชาวนาคนหนึ่งขุดดินในเมืองซีอาน เมื่อปี ค.ศ. 1974 นั้น คงไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบสิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก สิ่งที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีนนานกว่า 2,000 ปี "สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้" จักรพรรดิผู้เกริกไกรที่สุดของแดนมังกรจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลา 34 ปีมาแล้ว ที่ "ส่วนหนึ่ง" ของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้รวบรวมจีนเป็นแผ่นดินเดียวถูกเปิดเผยออกมาสู่ สายตาชาวโลก และแม้จะเป็นเพียงส่วนเดียว แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างเหลือประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ่นทหารดินเผา 8,000 ตัว ที่แต่ละตัวมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลยแต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีการค้นพบตัว สุสานที่แท้จริง หรือพระศพของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งจากข้อมูลเท่าที่มี นักวิชาการก็สันนิษฐานกันว่า สถานที่เก็บพระศพก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่สุสานที่เปิดออกมาแล้วนั่นเองแต่การสันนิษฐานนั้นจะจริงหรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะได้พิสูจน์ เพราะทางการจีนยังไม่อนุญาตให้ขุดค้นเนินดินใหญ่ ที่คิดว่าเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์นี้ เนื่องจากเกรงว่า หากเปิดที่ฝังพระศพจอมจักรพรรดิออกมาแล้ว ความลับที่ยืนยาวมานานกว่า 2 สหัสวรรษ อาจจะเกิดความเสียหายได้ เพราะยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะรับประกันว่า เมื่อโบราณวัตถุที่เก็บอยู่ในสุสานต้องออกมา พบกับอากาศในยุคปัจจุบันแล้วจะไม่เสื่อมสลายไป



แต่การไม่อนุญาตให้ขุดค้น ก็ไม่ได้ หมายความว่าจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ภายในสุสานจิ๋นซีมีอะไรอยู่


เมื่อปีที่แล้วนี้เอง ที่มีการใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล "ส่อง" เข้าไปในเนินดินขนาดใหญ่ใกล้กับบริเวณที่พบหุ่นทหารดินเผาอันเลื่องชื่อ แล้วก็ได้พบความน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าสิ่งที่ถูกค้นพบมาก่อนแล้วเสียอีกนักโบราณคดีจีนได้เห็นภาพว่า ลึกลงไปใต้พื้นดินราว 21 เมตร มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อยู่ ในนั้น เป็นอาคารสูงตั้ง 30 เมตร รูปทรงคล้ายพีระมิดหัวตัด กว้าง 125 เมตร ยาว 145 เมตร ด้านข้างแต่ละด้านมีลักษณะคล้ายบันได และลึกลงไปจากตัวอาคารนี้ ถึงจะเป็นสุสานของจริง ที่มีขนาดกว้าง 50 เมตร ยาว 80 เมตร สูง 15 เมตร


ระหว่างอาคารใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่า ปราสาทของจักรพรรดิไปถึงตัวสุสาน มีทางลาดเชื่อมถึงกัน และเมื่อตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีสมัย ใหม่ ก็เห็น "รางๆ" ว่า บริเวณทางเดินนี้ เต็มไปด้วยรถม้า และม้าที่สร้างด้วยบรอนซ์ ขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดจริงเห็นอย่างนี้แล้ว นักโบราณคดีต่างร้องโหวกเหวก อยากจะขุดเข้าไปให้เห็นกับตาจริงๆ เสียทีว่าจะมีจริงอย่างที่ "ตาอิเล็กทรอนิกส์" ส่องมองแทนหรือไม่ แต่งานนี้ก็ยังคงเป็นทางตัน เพราะแม้นักวิชาการหลายต่อหลายคนจะร้องขอขนาดไหน ทางการจีนก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ ด้วยเหตุผลเดิมว่า รอให้มีเทคโนโลยีที่ดีกว่านี้ในการอนุรักษ์ ทรัพย์สินของจักรพรรดิเสียก่อน ซึ่งก็น่าเห็นใจรัฐบาลจีน เพราะที่ ผ่านๆมา การขุดค้นแหล่งโบราณสถานหลายแห่งก็มีตัวอย่างให้ได้เห็นๆกันมาหลายครั้งแล้วว่า พอของมีค่าจากหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกผนึกไว้นาน ได้ออกมาเจอะออกซิเจนจากภายนอก ก็มีอันเสียหาย และบางชิ้นถึงกับป่นเป็นผุยผง อย่างนี้แล้วจะเสี่ยงกับสุสานจิ๋นซีที่เป็นสุสาน ซึ่งอาจจะสำคัญที่สุดในโลกนี้ได้อย่างไรเลยต้องร้องเพลงรอกันไปก่อนนอกจากสุสานแล้ว พระศพของจอมจักรพรรดิเอง ก็เป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่นักโบราณคดีอยากเจอกันมาก เมื่อก่อนนี้เคยเชื่อกันว่า พระศพจริงๆอาจจะอยู่ที่อื่น และสุสานที่เห็นอาจเป็นเพียงสิ่งลวง แต่ถึงวันนี้ จากการศึกษามากขึ้นก็ชักเชื่อกันใหม่ว่า ไม่ต้องไปไกลที่ไหนหรอก จุดที่พบพระราชวังใต้ดิน และสุสานใต้ดินนี่แหละ เป็นสถานที่เก็บพระศพของแท้นักวิชาการยังเชื่อกันว่า หากเปิดสุสานออกมาเมื่อไหร่ เป็นได้เจอพระศพแบบสมบูรณ์ ไม่เสียหายค่อนข้างแน่นอน เพราะมีตำรับตำราหลายเล่มที่ระบุว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ได้มีพระบัญชาให้รักษาพระศพของพระองค์ด้วยปรอทนอกจากนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ หัวขโมยบังอาจเข้ามาในที่พำนักชั่วนิรันดร์ของพระองค์ ก็มีพระบัญชาให้สร้างกลไกในการป้องกันผู้มาเยือนโดยพลการเอาไว้จำนวนมาก ด้วยสันนิษฐานกันว่า หากใครที่ไม่ได้ รับเชิญดัน "เจ๋อ" เข้ามาในสุสานของพระองค์ เห็นทีต้องโดนกลไกสารพัดอาวุธทำร้ายเอาแน่ๆ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยังไม่ควรเปิด สุสาน หากยังไม่แน่ใจในความปลอดภัยบางตำนานบอกว่า บริเวณที่ล้อมรอบพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ นั้น เป็นลำธารปรอทเพื่อรักษาพระศพ ซึ่งอาจจะมีความเป็นพิษสำหรับผู้มาเยือนด้วย และจากการตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็พบว่า บริเวณที่คาดว่าเป็นสุสานนั้น มีความเข้มข้นของสารปรอทมากผิดปกติ โดยเฉพาะตรงกลางของเนินดินที่มีปรอทมากกว่าบริเวณอื่นๆตั้ง 50 เท่า เลยยิ่งฟันธงกันไปใหญ่ว่า พระศพอยู่ตรงนี้แหงๆแต่บอกให้เสียใจอีกทีว่า ต้องร้องเพลงรอไปก่อน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นักโบราณคดีจะได้โอกาสเปิดตัวอาคารลึกลับนี้เข้าไปดูให้ เห็นเป็นบุญตาว่า จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกบรรทมอยู่อย่างไรในห้องสุดท้ายของพระองค์

ปริศนาลึกลับของสุสานและพระศพขององค์จักรพรรดิจิ๋นซี สร้างความพิศวงสงสัยจนผู้คนทั่วโลกต้องจับตามอง จนกระทั่งถูกหยิบยกเอาไปเป็นเค้าโครงของภาพยนตร์ ระดับฮอลลีวูด เรื่อง THE MUMMY : TOMB OF THE DRAGON EMPEROR ซึ่งในภาคที่แล้วเป็นเรื่องของมัมมี่อียิปต์ แต่คราวนี้ทีมงานหันมาสร้างถึงมัมมี่จีนบ้าง โดยเป็นเรื่องของจักรพรรดิในยุค 50 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งต้องคำสาปทำให้พระองค์และไพร่พล กลายเป็นกองทัพหุ่นกระเบื้องเคลือบไปตลอดกาล จนมีผู้มาพบสุสานลับ และปลุก พระองค์พร้อมทหารหาญให้ฟื้นคืนชีพ...เรื่องแบบนี้คิดๆไปก็อาจไม่ต่างจากเรื่องจริง เพราะใครเลยจะปฏิเสธได้ว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจะไม่แอบคิดหาวิธี ตระเตรียมไว้ปลุกองค์จิ๋นซีให้ฟื้นตื่นจากนิทรารมย์ขึ้นมาบ้าง...
ทีมงาน ต่วย'ตูน
ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ





วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ยิ่งรักมาก.. ก็ยิ่งต้องอดทน



แหล่งที่มาจากทำดีดอทเน็ต

http://variety.teenee.com/foodforbrain/9713.html

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Quiz#1 ฐานข้อมูลเบื้องต้น







วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกัน ทั้งความสุข ความเศร้า ความรู้และอื่นๆ รวมทั้งความรัก
วันหนึ่งความรู้ก็ได้บอกกับทุกคนว่า เกาะที่ทุกคนนั้นอาศัยอยู่กันมานานกำลังจะจมลงใต้ผืนน้ำ ให้ทุกคนเตรียมเรือเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะ
ทุกคนจึงรีบตัดสินใจเตรียมเรือกันทันที แต่มีเพียง ความรักเท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่บนเกาะ ความรักต้องการที่จะอยู่จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
เมื่อเกาะกำลังจะจมลงน้ำ ความรักก็เริ่มรักชีวิตตัวเองขึ้นจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ ความรวย แล่นเรือผ่านได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากความรัก จึงตอบไปว่า "ไม่ได้หรอกฉันรับเธอไม่ได้ เพราะเรือฉันน่ะ เต็มไปด้วยทองและเงินแล้วมันไม่มีที่ให้คุณ"
ความรักจึงตัดสินใจขอร้องความเห็นแก่ตัวซึ่งผ่านมาเหมือนกันด้วยเรือลำงาม " ความเห็นแก่ตัวช่วยฉันด้วย" "ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอก ความรักคุณน่ะเปียก อาจจะทำให้เรือฉันเปียกด้วย"
ความเศร้าได้พายเรือผ่านมา ความรักก็ได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออีก ความเศร้าตอบว่า "โอ้ความรักฉันกำลังเศร้ามากเลย ฉันต้องการอยู่คนเดียว ขอโทษนะ"
ความสุขได้ผ่านความรักไปเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ยินแม้เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของความรัก เพราะมัวแต่กำลังมีความสุข
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา " มานี่ความรักฉันจะรับคุณไปเอง" เสียงนั้นเป็นของคนแก่คนหนึ่ง ความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง คนแก่ก็จากไปตามทางของเขา
ความรักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อคนแก่คนนั้นความรักจึงถามความรู้จนเจอและได้สอบถาม
" ความรู้ ใครเหรอที่เป็นคนช่วยฉัน"
ความรู้ตอบว่า "เวลาไงหล่ะ"
ความรัก "แต่ทำไมเวลาจึงช่วยฉันล่ะ ?"
ความรู้ยิ้มในความรอบรู้ของตัวเอง แล้วตอบความรักว่า

ก็เพราะว่ามีเพียงเวลาเท่านั้นที่เข้าใจว่าความรักยิ่งใหญ่แค่ไหน

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เวลา นาฬิกา แตกต่าง แต่เติมเต็ม

เวลา นาฬิกา แตกต่าง แต่เติมเต็ม
แปลกมั๊ย..ใคร ๆ ก็คิดว่าเวลากับนาฬิกาเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอ
จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย

เวลา... เดินไปข้างหน้า
นาฬิกา.. เดินอยู่ที่เก่า

เวลา.. เราไม่อาจย้อนกลับ
นาฬิกา.. เราหมุนย้อนมันได้

เวลา.. เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่อาจเรียกร้องคืน
นาฬิกา.. เสียก็ซ่อม หรือซื้อใหม่ไปเลย


เวลา.. ได้มาฟรีๆ ไม่ต้องแลกกะอะไร
นาฬิกา.. ยิ่งสวยยิ่งแพง ใช้เงินซื้อมันมาทั้งนั้น

แล้วอย่างนี้ มันจะคู่กันได้ยังไง ในเมื่อมันแตกต่างกันเหลือเกิน

แต่ถามหน่อย.. ถ้าไม่มีนาฬิกา จะรู้เวลามั๊ย
หรือถ้ามีแต่นาฬิกา แต่ไม่รู้จักเวลา จะมีประโยชน์อะไร

ถึง 2 สิ่งจะแตกต่างกัน แต่ถ้ามันจะคู่กันแล้ว
ย่อมมีจุดร่วมกันเสมอ เพียงแต่จะมองเห็นมันรึป่าว?

ฉันกับเค้า.. อาจไม่มีอะไรเหมือนกัน
ฉันกับเค้า.. มีความคิด และวิถีชีวิตที่ต่างกัน
ฉันกับเค้า.. อาจเดินกันคนละเส้นทาง
ฉันกับเค้า.. อาจมีความฝันที่ห่างไกลกัน

ฉัน.. อาจเหมือนกับเวลา ที่ชอบเดินไปข้างหน้า
หาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย โดยทิ้งหลายสิ่งไว้ข้างหลัง

เค้า.. อาจเหมือนกับนาฬิกา ที่ยังเป็นแบบเดิมๆ
ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ในมุมเก่าๆ

ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันยังดึงดันจะมองแต่ข้างหน้า
ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันไม่มองไปข้างหลัง

เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังอยู่แบบเดิมๆ
เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเขาไป

แต่ฉันยังเฝ้ามอง เฝ้ารอ …
ความแตกต่าง อาจสร้างกำแพงบังเค้าไว้

แต่ฉันยังเชื่อมั่น ว่าซักวัน สิ่งนั้นน่ะแหละ
ที่จะเชื่อมโยงใจเราเข้าหากัน

ความแตกต่าง จะเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย
และสุดท้าย ก็จะเหลือเพียงแค่คำว่า..
** กันและกัน **



ขอบคุณบทความดีดีจาก thaireaderclub.com

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ประวัติการเสียดินแดนของไทย

อันนี้ไม่ได้ อยู่ฝั่งไหนนะคับ เพียงแต่เอาประวัติศาสตร์มาให้ดูกันเฉยๆ
อดีตนานมา เป็นอย่างนี้ เลือดบรรพบุรุษราดปฐพี ปูทางมา (T_T)

เสียครั้งแรกเกาะหมากจากแผนผัง เขาเปลี่ยนเป็นปีนังจำได้ไหม นั่นแหละจากขวานทองเล่มของไทย หนึ่งร้อยกว่าตารางไมล์หลักฐานมี
ครั้งที่สองเสียซ้ำยังจำได้ เสียมะริดและทวายตะนาวศรี



ครั้งที่สามบันทายมาศถูกตัดเฉือน แล้วเปลี่ยนเป็นฮาเตียนตั้งชื่อใหม่ ปีสองพันสามร้อยหกสิบสามแสนช้ำใจ เสียเนื้อที่เท่าไรไม่ปรากฎในบทความ

ครั้งที่สี่เจ็บแค้นเสียแสนหวี กินเนื้อที่ถึงเชียงตุงเหนือกรุงสยาม
ตั้งหกหมื่นตารางกิโลโถมันทำ ใครสร้างกรรมเดี๋ยวนี้เห็นดีกัน


ครั้งที่ห้ามาเสียรัฐเปรัค เขาหาญหักผลักล้มเชือดคมขวาน
ปีสองพันสามร้อยหกสิบเก้าแสนร้าวราน ต่างหยิบขวานขึ้นถือกู้ชื่อไทย

ครั้งที่หกอกตรมเดินก้มหน้า เสียสิบสองพันนาน้ำตาไหล
ตั้งเก้าหมื่นกิโลโถทำได้ แทบขาดใจต่อสู้ศัตรูมา



ครั้งที่เจ็ดเสียดินแดนแคว้นเขมร เกิดพิเรนเพราะฝรั่งกำลังบ้า
เที่ยวออกล่าเมืองขึ้นชื่นอุรา เสียอีกหนึ่งแสนกว่าตารางกิโล


ครั้งที่แปดเสียแคว้นดินแดนใหม่ ชื่อสิบสองจุไทยก็ใหญ่โข
เป็นเนื้อที่อีกแปดหมื่นตารางกิโล ต้องร้องโฮใจระเหี่ยเพราะเสียดาย
ครั้งที่เก้าเศร้าแสนแค้นไม่สิ้น เสียลุ่มน้ำสาละวินด้านฝั่งซ้าย
สิบสามหัวเมืองต้องจำเหมาให้เขาไป ใครที่ทำช้ำใจไทยต้องจำ

ครั้งที่สิบเลียบลำแม่น้ำโขง ถูกเขาโกงฝั่งซ้ายเพราะไทยถลำ

ครั้งที่สิบเอ็ดเสียฝั่งขวานั่งหน้าดำ มันเจ็บช้ำฝังจำอยู่กลางใจ

ครั้งที่สิบสองใจรันทดเพราะหมดท่า เสียมณฑลบูรพาอีกจนได้
เขามาพรากจากแหลมทองถิ่นของไทย อีกสองหมื่นตารางไมล์โดยประมาณ

ครั้งที่สิบสามเสียตรังกานูไทรบุรี ในแผนที่มองเห็นเป็นหลักฐาน
ไปถึงปะลิสติดรัฐกลันตัน อีกสามหมื่นโดยประมาณตารางไมล์


ครั้งที่สิบสี่เสียเขาพระวิหาร ปัจจุบันเป็นของเขมรท่านเห็นไหม


จำไว้เถิดเนื้อเชื้อชาติไทย จงรวมใจเข้าร่วมรวมพลัง
เหมือนลงเรือลำเดียวน้ำเชี่ยวจัด ช่วยกันคัดช่วยกันพายให้ถึงฝั่ง
อย่าหันหลังหน้าพะว้าพะวัง คนนั่งกลางเท้าอย่าราลงวารี
เป็นแดนดินถื่นสุดท้ายที่ไทยหวัง ทะเลล้อมรอบข้างหมดทางหนี
ครั้งที่สิบห้าต่อไปอย่าให้มี ใครย่ำยีข่มขู่จงสู้มัน
เราจะถอยต่อไปไม่ได้แล้ว ผืนแผ่นดินสิ้นแนวทะเลกั้น
ขวานเล่มนิดฤทธิ์ฉกาจเคยฟาดฟัน ระบือลั่นว่าไทยรักสามัคคี
เหล่าอมิตรที่คิดครองเมืองทองข้า จำสัตย์จาข้าลั่นลงอย่าสงสัย
แม้ผู้ใดหมายปองครอบครองไทย จงเอาไปหากแผ่นดินนี้สิ้นคน
วันใดพ่ายแก่ไพรี วันนั้นปฐพีไม่มี....กู